ชาวบ้านบางระจัน

ชาวบ้านบางระจัน

              วันนี้ ไม่มีคนไทยคนไหนไม่รู้จัก“บางระจัน” หนึ่งในประวัติศาสตร์ที่เราเรียนมาตั้งแต่เด็กๆ
ที่สำคัญเรื่องราวประวัติศาสตร์ตอนนี้เคยถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์และในหนังเรื่อง“บางระจัน” ต้องการนำเสนอเรื่องราวของชาวบ้าน 11 คน ที่ตัดสินใจ“รบเพื่อชาติ”ด้วยการหยิบดาบ หยิบค้อน หยิบอะไรก้ได้ที่“พอจะเป็นอาวุธ” ต่อสู้กับพม่าด้วยหัวใจกล้าหาญ เพราะกองทัพพม่ายกพลมาตีกรุงศรีอยุธยาด้วยกำลังไพรพลมหาศาล

          กองทัพพม่า ยกกำลังมาบุกกรุงศรีอยุธยา 2 เส้นทาง
เส้นทางแรก มังมหานรธา ตีจากทิศตะวันตก ส่วนทัพที่สอง เนเมียวสีหบดี ยกพลตีไล่ทัพไทยจากทางเหนือ โดยทั้ง 2 กองทัพนัดรวมพลเพื่อโอบล้อมกรุงศรีอยุธยา  ทัพของ เนเมียวสีหบดี คือกองทัพที่เจอชางบ้าน“บางระจัน“และแตกทัพถึง 3 ครั้ง

          หนังสือ(เรียน)ประวัติศาสตร์ระบุว่า ในปีพ.ศ.2308 พระเจ้ามังระ ทรงวางแผนบุกตีพระนครศรีอยุธยา จึงส่งกองทัพซึ่งมีเนเมียวสีหบดี และมังมหานรธาเป็นแม่ทัพในส่วนของอโยธยา พระเจ้าเอกทัศน์ เสด็จขึ้นครองราชย์ต่อจากพระอนุชาของพระบิดาคือ สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ซึ่งทรงมีพระราชดำรัสไว้ว่า“เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี (พระเจ้าเอกทัศน์ หรือ ขุนหลวงขี้เรื้อน) เป็นคนโฉดเขลา ไร้สติปัญญา ถ้าได้ครองแผ่นดินจะทำให้แผ่นดินเกิดภัยพิบัติ”  

            ขณะที่กองทัพพม่าบอกมานั้น เมื่อมาถึงเมืองวิเศษชัยชาญ มีคนไทยชื่อนายแท่น นายโชติ นายอิน นายเมือง นายดอก (บ้านกลับ) นายทองแก้ว(บ้านโพธิ์ทะเล) ได้รวมตัวกันต่อสู้กับพม่าและฆ่าพม่าตายไป 20 คนก่อนหนีมาที่บ้านบางระจัน
            จากนั้น ทั้งหมดร่วมกับชาวบ้านบางระจัน นิมนต์พระสงฆ์พระอาจารย์ธรรมโชติ (วัดเขานางบวช) มาปลุกเสกคาถาอาคมให้หนังเหนียว มีกำลังใจสู้ศึกกับพม่าชาวบ้านรวมกันได้ประมาณ 400 คน มีหัวหน้าคือ ขุนสรรค์ พันเรือง นายทองเหม็น นายจันทร์หนวดเขี้ยว และนายทองแสงใหญ่ และสามารถต่อสู้กับพม่าที่ยกทัพมาถึง 7 ครั้งกระทั่งเมื่อพม่ามีชาวมอญชื่อสุกี้ ซึ่งเป็นมอญที่อาศัยอยู่ในไทย ได้อาสากองทัพพม่ารบกับไทย สุกี้จึงเปลี่ยนกลุยทธ์ โดยใช้วิธีตั้งทัพอยู่เฉยๆ เพราะรู้ว่าชาวบ้านใจร้อนเมื่อถูกยุทธวิธีรบแบบยืดเยื้อ ชาวบ้านก็มีใบบอกไปถึงกรุงศรีอยุธยาเพื่อขอปืนใหญ่และกระสุนมาต่อสู้กับพม่า แต่ได้รับการปฏิเสธ โดยกรุงศรีฯส่งมาแต่นายกองมาช่วยดู ชาวบ้านจึงช่วยกันนำเศษทองเหลืองที่เรี่ยไรมาได้ หล่อเะป็นปืนใหญ่ 2 กระบอก แต่ปืนร้าว ใช้งานไม่ได้สุกี้รู้แล้วว่ากองทัพชาวบ้าน ไม่ได้รับการสนับสนุนจากพระนคร จึงมั่นใจว่าชาวบ้านบางระจันเริ่มอ่อนแอ จึงสั่งให้ขุดอุโมงค์เข้าไปใกล้ค่ายบางระจัน แล้วเอาปืนใหญ่ตั้งหอสูงระดมยิงใส่ค่ายจนค่ายแตก ทำให้ไทยต้องเสียค่ายบางระจันแก่พม่า
            ประวัติศาสตร์บันทึกว่า ค่ายบางระจัน ถูกพม่าตีแตกในวันจันทร์ เดือน 8 แรม 2 ค่ำ ปีจอ พ.ศ.2309 รวมระยะเวลาที่วีรชนชาวบางระจันต่อสู้กับพม่านานถึง 5 เดือน ปีชวดปีนี้ วันแรม 2 ค่ำเดือน 8 ปี ตรงกับวันที่ 19 กรกฎาคม 2551 อีก 1 เดือนเศษ…อย่าให้ชาวบางระจัน….ต้องฟื้นมารับรู้การเสียกรุงอีกครั้งเลย…

ศึกบางระจัน

ศึกบางระจัน จำให้มั่นพี่น้องชาติไทย
เกียรติประวัติสร้างไว้ แด่ชนชาติไทยรุ่นหลัง
แม้ชีวิต ยอมอุทิศคราชาติอัปปาง
เลือดไทยต้องมาไหลหลั่ง ทาทั่วผืนแผ่นดินทอง

ไทยคงเป็นไทย มิใช่ชาติเป็นเชลย
ไทยมิเคย ถอยร่นชนชาติศัตรู
บางระจัน แม้สิ้นอาวุธจะสู้
สองดาบฟาดฟันศัตรู สู้จนชีพตนมลาย

ตัวตาย… ดีกว่าชาติตาย
เพียงเลือดหยาดสุดท้ายขอให้ไทยคงอยู่
แดนทองของไทยไม่ใช่ศัตรู
แม้ใครรุกรานเราสู้ เพื่อกู้แหลมถิ่นไทยงาม

จารึกอนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจัน

เมื่อเดือนสาม  ปีระกา พุทธศักราช  ๒๓๐๘  นายจันหนวดเขี้ยว
นายโชติ นายดอก นายทองแก้ว นายทองเหม็น นายทองแสงใหญ่  นายแท่น
นายเมือง พันเรือง ขุนสรรค์ และนายอิน

    ได้เป็นหัวหน้ารวบรวมชาวบ้านตั้งค่ายต่อสู้พม่าที่บ้านบางระจัน
มีพระอาจารย์ธรรมโชติ เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิทยาคมบำรุงขวัญ

    ตั้งแต่เดือนสี่  ปีระกา  พุทธศักราช  ๒๓๐๘ จนถึงเดือนเจ็ด ปีจอ
พุทธศักราช  ๒๓๐๙  วีรชนค่ายบางระจัน ได้ต่อสู้พม่าด้วยความกล้าหาญ และ
ด้วยกำลังใจเด็ดเดี่ยว ยอมสละแม้เลือดเนื้อและชีวิต เพื่อรักษาแผ่นดินไทย
รบชนะพม่าถึงเจ็ดครั้ง  จนพม่าครั่นคร้ามฝีมือ

    รัฐบาลและประชาชนชาวไทย จึงพร้อมใจกันสร้างอนุสาวรีย์นี้ขึ้น
เพื่อประกาศเกียรติคุณของวีรชนค่ายบางระจันให้ยั่งยืนชั่วกาลนาน

    นี่คือข้อความที่ปรากฏในจารึกอนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจัน !!!

>>  ไม่ปรากฏชื่อวีรสตรีไทยเลือดนักสู้

           เป็นที่น่าเสียดายยิ่งที่ไม่ปรากฏชื่อ  วีรสตรีไทยเลือดนักสู้ ระดับหัวหน้าทั้ง  ๓ ท่าน  ทั้ง ๆ  ที่ได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับนักรบชายชาวบ้านบางระจัน ได้แก่ อีปล้อง  อีแฟง  และอีเฟื่อง  ด้วยการนำชาวบ้านบางระจันออกสู้รบกับพม่า และช่วยกันส่องคบลวงพม่า แล้วให้นักรบชายจู่โจมเข้าโจมตี  ทำให้พม่าถูกฆ่าตายไปเป็นจำนวนมาก   แต่ในที่สุด วีรสตรีทั้ง  ๓ ท่าน ก็ถูกพม่าฆ่าตายในที่สุด

             คุณทนงศักดิ์ สุขทวี ไวยาวัจกร วัดโพธิ์เก้าต้น อ.ค่ายบางระจัน  จังหวัดสิงห์บุรี  ได้เคยกล่าวว่า  ในบรรดาหัวหน้าชาวบ้านบางระจัน  นอกจากที่มีชื่อในประวัติศาสตร์ที่เราทราบกันมานั้น ยังมีหัวหน้าที่เป็นสตรีอีก ๓ ท่าน นามว่า ปล้อง แฟง และเฟื่อง อีกด้วย ซึ่งก็บังเอิญว่าตัวละครเอกในนวนิยายของ ไม้ เมืองเดิม นั้น ก็มีชื่อ แฟง กับ เฟื่อง ด้วย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ประวัติของหมู่บ้านบางระจัน

ประวัติ 11 วีรชนบางระจัน